ขอบเขตของสัญญาประกันภัย (Contract Boundary)
ใบบทนี้ จะมีประเด็นสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือเรื่องของ Coverage Period และ Coverage Term และอีกเรื่องจะเกี่ยวกับ การนับวันที่จะเริ่มคุ้มครองหรือวันที่จะเริ่มคำนวณ
1. Coverage Period และ Coverage Term
Coverage Term หมายถึงระยะเวลาตามสัญญากรมธรรม์ หรือจะเรียกว่า Legal Term ก็ได้ ในขณะที่ Coverage Period หมายถึงระยะเวลาตามมาตรฐาน TFRS17 หรือจะเรียกว่า Accounting Term ก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ใจความสำคัญหลักก็คือการตีความ Coverage Period ออกมานั่นเอง
"โดยในธุรกิจประกันวินาศภัยนั้นอาจจะพบเจอ Coverage Period ที่มากกว่า Coverage Term"
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าสัญญาของ Engineering คือ 3 ปี (จะมี Coverage Term คือ 3 ปี) แต่ Coverage Period นั้น อาจจะเป็น 5 ปี ก็ได้ (เพราะจะมีอีก 2 ปี ที่ต้องรับผิดชอบเรื่อง Extended Warrantee ตอนท้ายอีก 2 ปี จึงทำให้ Coverage Period นั้นยาวกว่า Coverage Term) ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้ว สัญญาประกันภัยส่วนใหญ่จะมี Coverage Period เท่ากับ Coverage Term นั่นเอง
ตัว Coverage Period นี้จะมีผลในการประเมินว่าต้องใช้โมเดลไหนในการคำนวณ
ถ้า Coverage Period <= 1 ปี นั้น จะสามารถใช้โมเดลการคำนวณอย่างง่ายได้ (ใน TFRS17 จะเรียกว่า PAA Method ซึ่งย่อมาจาก Premium Allocation Approach)
ถ้า Coverage Period > 1 ปี นั้น จะต้องมีการทำ PAA Eligibility Test อีกทีหนึ่ง ถ้าผ่าน PAA Eligibility Test ได้ ก็จะสามารถใช้โมเดลการคำนวณอย่างง่ายได้ แต่ถ้าไม่ผ่าน PAA Eligibility Test แล้วถึงจะหันมาใช้โมเดลการคำนวณแบบทั่วไป (GMM Method ซึ่งย่อมาจาก General Measurement Model) โดย Fulfillment Cash Flow (ของวิธี GMM Approach ซึ่งจะอยู่ในบทหลัง) นั้น ก็จะใช้ตาม Coverage Period ไปด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เป็นตัวอย่างปกติก็ เช่น Single Premium คุ้มครอง 3 ปี นั้น จะมี Coverage Term 3 ปี และ Coverage Period 3 ปี ซึ่งในตัวอย่างนี้ มี Coverage Period > 1 ปี แต่อาจจะผ่าน PAA Eligibility Test และใช้เพียงโมเดลการคำนวณอย่างง่าย (PAA Approach) ก็ได้
มีอีกประเด็นที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งสำหรับบริษัทประกันภัยต่อนั้นก็คือ Coverage Period ของ Risk Attaching Reinsurance (หรือก็คือ สัญญาประกันภัยต่อ) นั้นส่วนใหญ่จะยาวกว่า Coverage Period ของ สัญญากรมธรรม์ที่รับมาจากบริษัทประกัน เพราะสัญญาประกันภัยต่อนั้นดูเป็นชุด ๆ แบบ Treaty (ไม่ได้ดูเป็นสัญญากรมธรรม์เหมือนบริษัทประกันภัยทั่วไป) จึงขอยกตัวอย่างตามภาพด้านล่างนี้
Treaty A ต่ออายุ ปีละครั้ง และ Coverage Period ของกรมธรรม์คือ 3 ปี หากเราพิจารณาความยาวของ Coverage Period ตั้งแต่สัญญาที่เริ่มคุ้มครองวันแรก ไปจนถึงสิ้น Coverage Period ของสัญญาที่เข้ามาวันสุดท้ายก่อนวันต่ออายุของสัญญาประกันภัยต่อ ก็จะได้ Coverage Period ของ Treaty คือ 4 ปี
Treaty B ต่ออายุ 2 ปีต่อครั้ง และ Coverage Period ของกรมธรรม์คือ 2 ปี ก็จะได้ Coverage Period ของ Treaty คือ 4 ปี เช่นกัน ตามภาพด้านบน
สรุปคือ Treaty ของสัญญาประกันภัยต่อนั้น ไม่ได้ดูทีละกรมธรรม์ มันจะต้องเผื่อเวลาให้มัน Run off ไปด้วย และถ้าต่ออายุทุกปี หมายถึงต้องเผื่อเวลา run off ไป 1 ปี แต่ถ้าต้องต่ออายุทุก 2 ปี ก็หมายถึงว่าต้องเผื่อเวลา Run Off ไป 2 ปี เป็นต้น ดังนั้น บริษัทประกันภัยต่อจึงมีแนวโน้มที่ต้องใช้หลักโมเดลการคำนวณแบบทั่วไป (GMM Approach) เนื่องจาก Coverage Period ที่มากกว่า 1 ปี
2. การนับวันที่จะเริ่มคุ้มครองหรือวันที่จะเริ่มคำนวณ
ในส่วนนี้ก็จะมีตัวละครที่ต้องทำความเข้าใจอยู่ 3 ตัวละครด้วยกัน โดยตัวละครแรก คือ “Enter Into Contract” ตัวละครที่สอง คือ “Risk of Contract Incepts” และตัวละครสุดท้าย คือ “Valuation Date” โดย
Enter Into Contract คือ วันที่รับเบี้ยหรือเงินเข้ามา
ส่วน Risk of Contract Incepts คือวันที่เริ่มคุ้มครอง (ถ้าเกิดเหตุก่อนวันนี้คือไม่จ่าย)
ตัวสุดท้าย Valuation Date ก็คือวันที่ทำการประเมิน
ดังนั้น เงินที่รับมาก่อนวันที่เริ่มคุ้มครอง (Enter Into Contract เกิดขึ้นก่อน Risk of Contract Incepts) จะเรียกว่า Advance Premium ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องปกติที่เคยอยู่ในหลักการเดิม ก่อนที่จะมาอยู่ใน TFRS17 เพียงแต่หลักการเดิมนั้นจะถือเป็นหนี้สินอื่น ส่วน TFRS17 นี้จะถือว่าอยู่ในส่วนหนี้สินจากการประกันภัยเลย (ทำให้มีความต่างจากเมื่อก่อนที่เมื่อก่อนนั้นจะให้ถือว่าอยู่ใน Accounting Item จำพวก Prepaid Premium)
ตัวอย่างเพิ่มเติมที่มีการตีความและเห็นได้อยู่ทั่วไปก็คือ
Enter Into Contract ที่อยู่วันเดียวกับ Risk of Contract incepts ก็คือ การจ่ายเบี้ยแล้วคุ้มครองเลย
Valuation Date อยู่หลัง วัน Risk of Contract Incepts นั้นก็จะเริ่ม คำนวณ UPR จากวัน Risk of Contract Incepts
พวกคุ้มครองก่อน แล้วเงินสดเก็บตามมาทีหลัง (อันนี้ จะถือว่า Risk of Contract Incepts อยู่ก่อน Enter Into Contract พวกนี้ก็จะเรียกคล้ายหลักการสมัยก่อน คือจะเรียกว่า Due Premium ก็ได้)
สรุปได้ว่า บทนี้จะกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับระยะเวลาและการนับวันเป็นหลักโดยส่วนสำคัญที่จะมีผลกับบทหลัง ๆ นั้นจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการตีความ Coverage Period จะมีผลกับการเลือกใช้โมเดลการคำนวณและมีผลต่อการรายงานงบการเงิน ซึ่งจะกล่าวในบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยเฉพาะในภายหลัง
เขียนโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ)
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
ขอสงวนสิทธิ์ของเนื้อหาในบทความ ไม่ให้นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ในเชิงพาณิชย์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ABS เท่านั้น
ความคิดเห็น